
เกี่ยวกับผู้บริหารโครงการ (บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (อทส.))
บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (อทส.) มีความเป็นมาดังนี้ ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม (คค.) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการจัดตั้งบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินของ รฟท. ให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อองค์กรมากที่สุด และแก้ไขปัญหาทางการเงินให้แก่ รฟท. ภายใต้ชื่อว่า บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (อทส.) ได้กำหนดลักษณะของการบริการแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1) บริการรับจ้างบริหารจัดการสัญญาเช่า โดยทรัพย์สินทั้งหมดยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.
2) บริการจัดสรรพื้นที่ และเจรจาสัญญากับบุคคลที่สาม หรือการร่วมทุนกับเอกชนเพื่อรับโอนพื้นที่ไปดำเนินการให้เช่าพื้นที่ เพื่อนำไปพัฒนา หรือนำไปดำเนินการหาผู้ร่วมทุนในการพัฒนาพื้นที่
3) การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัทฯ ทำการเช่าพื้นที่จากรฟท. หรือซื้อที่ดินจากองค์กรอื่น เพื่อนำมาพัฒนาพื้นที่โครงการ หรือเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ และเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การระดมทุน หาผู้รับเหมาก่อสร้าง เจรจาสัญญากับผู้เช่า เก็บค่าเช่า และบริหารการดำเนินงานทั้งหมดของโครงการ
การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ โดย อทส. มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัย ให้มีความเหมาะสมในทุกๆ ด้าน เช่น ความเหมาะสมทางกายภาพ ความเหมาะสมด้านเทคนิค ความเหมาะสมด้านการเงินและเศรษฐกิจ ความเหมาะสมด้านการบริหารโครงการ เป็นต้น โดยใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีความเหมาะสมทางด้านกายภาพและด้านเศรษฐกิจมาพัฒนาพื้นที่ อีกทั้งโครงการจะสร้างบนที่ดินทำเลศักยภาพบนที่ดินที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถ (non-core business) ซึ่งจะเป็นจุดยุทธศาสตร์การเชื่อมต่อไปกับการพัฒนาพื้นที่โดยรอบของสถานีขนส่งมวลชน (transit oriented development) อีกทั้งจะเป็นแผนการดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนในเชิงประสิทธิภาพ อาทิเช่น นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จากการใช้ที่ดินศักยภาพเหล่านี้เพื่อพัฒนาโครงการ ให้การเดินทางจากที่พักอาศัยสู่ที่ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon emission) ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้อาศัย
โดยมีแหล่งเงินทุนในการดำเนินการพัฒนาโครงการฯ ได้ประสานกับสถาบันการเงินของรัฐและมีความเห็นชอบการสนับสนุนเงินทุนจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสม ช่วยบรรเทาปัญหาที่เกี่ยวข้อง โดยการเพิ่มโอกาส ศักยภาพ ของกลุ่มคนทำงาน ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2508 – 2522 (Gen X) และพ.ศ. 2523 – 2540 (Gen Y) ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
โครงการมีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชน
การดำเนินการรวบรวมและศึกษาทบทวนผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการโครงการบ้านเพื่อคนไทย ประกอบไปด้วย การคัดกรองปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบรายงานรายการข้อมูลสิ่งแวดล้อม (Environmental Checklist) และได้มีการวางแผนการดำเนินการกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโครงการ
การดำเนินกิจกรรมการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น และประชาชนรอบพื้นที่โครงการ คือ กระบวนการซึ่งประชาชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีโอกาสในการแสดงทัศนะ แลกเปลี่ยนข้อมูล และความคิดเห็น เพื่อแสวงหาทางเลือก และแนวทางในการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่เหมาะสม และได้รับการยอมรับจากร่วมกับทุกฝ่าย ดังนั้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจึงควรได้รับโอกาสในการเข้าร่วมตั้งแต่กระบวนการพัฒนาโครงการเริ่มต้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและการเรียนรู้ การพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดร่วมกันทุกฝ่าย
โครงการจำเป็นต้องดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักความโปร่งใส และต่อเนื่องในการรับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ และเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ตลอดจนไปถึงข้อห่วงกังวลต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาปรับเปลี่ยนลักษณะโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน โดยอาศัยแนวคิดทางสังคมวิทยา และการสื่อสารสองทาง รวมไปถึงบทบาทด้านการให้คำแนะนำ หรือให้คำปรึกษาหารือ กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดี และความเข้าใจการพัฒนาโครงการไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลสนับสนุนการพัฒนาโครงการสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ
โครงการบ้านเพื่อคนไทย สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้หลายด้าน โดยสามารถแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ประชาชน, อทส., รฟท. และประชาชนที่อาศัยอยู่รอบโครงการนำร่อง ดังนี้
1) ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ โครงการจะยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชน โดยผลประโยชน์หลัก ได้แก่
– การเข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพในราคาที่ต่ำกว่าตลาดสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจ เช่น คนวัยทำงาน, ชนชั้นกลาง, ผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง รวมถึงพนักงานของ อทส. และ รฟท.
– การเข้าถึงระบบขนส่งทางรางที่สะดวกขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตามแนวคิด Transit Oriented Development (TOD)
– การปรับปรุงคุณภาพอากาศจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รองรับเป้าหมาย Carbon Net Zero ของประเทศ
2) ผลประโยชน์ที่ประชาชนโดยรอบโครงการจะได้รับ โครงการจะสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่โดยรอบ ได้แก่
– การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบถนน น้ำประปา และไฟฟ้า
– โอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างงานและกระตุ้นการลงทุน
– การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ เช่น ร้านค้า, สวนสาธารณะ และระบบขนส่งมวลชน
โครงการนี้จึงมีประโยชน์อย่างครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
การพัฒนาพื้นที่ทั่วประเทศ (โครงการทั้งหมดในระยะ 3 ปี)
ทาง อทส. จะพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ สำหรับพัฒนาที่อยู่อาศัย และพบว่ามีพื้นที่มีศักยภาพจำนวน 112 พื้นที่ (พื้นที่ที่มีศักยภาพ) และได้ประเมินเพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงจำนวน 25 พื้นที่ (โครงการตามแผนงานเบื้องต้น) เพื่อศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นในการดำเนินการโครงการ นอกจากนี้ พบว่า มีพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงที่สุดและพร้อมดำเนินการโครงการได้ในทันที จำนวน 3 พื้นที่ (โครงการนำร่อง) โดยแบ่งการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทย เป็น 3 ระยะดังนี้
1) ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2568) โครงการบ้านเพื่อคนไทย สำหรับโครงการนำร่อง เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับพัฒนาโครงการในระยะต่อไป
2) ระยะสั้น (พ.ศ. 2569 – 2571) โครงการบ้านเพื่อคนไทย สำหรับโครงการตามแผนงานเบื้องต้น จำนวน 22 โครงการ
3) ระยะกลาง (พ.ศ. 2572 – 2576) โครงการบ้านเพื่อคนไทย สำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพ จำนวน 87 โครงการ